วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ปลาทอง

ปลาทอง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ปลาทอง
ปลาทองสายพันธุ์เกล็ดแก้ว สายพันธุ์ที่ถูกผสมขึ้นมาโดยคนไทยเอง
ปลาทองสายพันธุ์เกล็ดแก้ว สายพันธุ์ที่ถูกผสมขึ้นมาโดยคนไทยเอง
ปลาทองสายพันธุ์ดั้งเดิม
ปลาทองสายพันธุ์ดั้งเดิม
ปลาทอง บางครั้งนิยมเรียกว่า ปลาเงินปลาทอง (อังกฤษ: Goldfish) เป็นปลาน้ำจืด อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Carassius auratus เป็นปลาที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนและญี่ปุ่น ต่อมาได้ถูกพัฒนาสายพันธุ์มาไม่ต่ำกว่า 2,000 ปี จนกลายเป็นปลาสวยงามหลากหลายสายพันธุ์ในปัจจุบัน
โดยปลาทองเชื่อว่า เป็นปลาสวยงามชนิดแรกที่มนุษย์เลี้ยง จากหลักฐานที่ปรากฏไม่ต่ำกว่า 2,000 ปีมาแล้ว เป็นรูปสลักปลาทองหลากหลายสีว่ายรวมกันอยู่ในบ่อ ที่ประเทศจีนเป็นประเทศแรกที่เลี้ยงปลาทอง แต่ประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้พัฒนาสายพันธุ์ปลาทองให้มีความสวยงามและหลากหลายมาจนปัจจุบัน
ปลาทองมีรูปร่างอ้วน ป้อม มีเกล็ดแบบบางเรียบ ครีบอกกลมแบน ครีบหางเป็นรูปพัด เป็นปลากินพืช และแมลงน้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร เป็นปลาที่ตะกละสามารถกินอาหารได้ตลอดทั้งวัน ตัวผู้เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์จะมีตุ่มสิวขึ้นตามครีบอกและใบหน้า ปลาตัวท้องช่องท้องจะอูมเป่งออก วางไข่ตามพืชน้ำ ไข่ใช้เวลาฟักตัวประมาณ 2 วัน
ปลาทองมีสีหลากหลายตั้งแต่สีแดง สีทอง สีส้ม สีเทา สีดำและสีขาว แม้กระทั่งปลาทองสารพัดสีในตัวเดียวกัน ในธรรมชาติชอบอาศัยตามหนองน้ำและลำคลองที่ติดกับแม่น้ำ อาจมีอายุได้ถึง 20-30 ปี ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ต่อมาถูกนำไปเลี้ยงในยุโรปเมื่อศตวรรษที่ 17[1] และถูกนำไปเผยแพร่ในอเมริกา ในศตวรรษที่ 19 สำหรับในประเทศไทย เชื่อว่าปลาทองเข้าในสมัยอยุธยาตอนกลางเพื่อเป็นของบรรณาการในราชสำนัก
ในปัจจุบันมักเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม และปลาทองที่เลี้ยงไว้ดูเล่นจะมีช่วงชีวิต ประมาณ 7-8 ปี พบจำนวนน้อยมากที่มีอายุถึง 20 ปี ปัจจุบันประเทศจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และญี่ปุ่น เป็นศูนย์กลางการส่งออกปลาทองที่ใหญ่ที่สุด
ผู้เลี้ยงมักนิยมให้ปลาทองกินลูกน้ำ ไรน้ำ และตัวอ่อนแมลงชนิดต่าง ๆ รวมทั้งอาหารเม็ดสำเร็จรูป มีความยาวแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ มีความยาวตั้งแต่ 4-45 เซนติเมตร พันธุ์ปลาทองที่ได้รับความนิยมในตลาดปัจจุบัน ได้แก่ พันธุ์หัวสิงห์ (LION HEAD) ออแรนดา (ORANDA) เกล็ดแก้ว (PEARL SCALE) รักเล่ (TELESCOPE EYE) ริวกิ้น (RYUKIN) ตาลูกโป่ง (BUBBLE EYE) และ ชูบุงกิ้น (SHUBUNKIN) สิงห์ดำตามิด (BLACK SIAM) เป็นต้น[2]

 

 

 

 

 

 

 

 

 

1. ปลาทองรันชู


เสน่ห์ของปลาทองรันชู
     หากจะกล่าวถึงสิ่งที่น่าสนใจของปลาทองรันชูี้ด้วยคำพูดสั้นๆ คงเป็นเรื่องยาก ด้วยเสน่ห์ของปลาทองชนิดนี้ ที่ต่างจากปลาทองชนิดอื่น ทำให้ผู้คนต่างให้ความสนใจและหันมาเริ่มเลี้ยงปลาทองชนิดนี้กันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การเป็นปลาที่ชื่นชมความงามจากมุมมองด้านบน (TOP VIEW) ความสวยงามของหางที่แสดงถึงพวงหางที่สวยงาม ส่วนหัวที่พอเริ่มมีอายุก็จะมีก้อนเนื้อวุ้นที่เติบโตตามตัวแสดงถึงสัญลักษณ์แห่งมังกร หรือบางทีเน้นที่เขี้ยวปลา้ดูองอาจมีสง่าราศี เกล็ดที่เรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบและสะท้อนรับกับแสงไฟหรือแสงอาทิตย์ สันหลังที่ปราศจากครีบโค้งมนรับกับรูปทรงของตัวปลา และสีสันสวดลายที่สะดุดตาผู้ชมยิ่งนัก จึงไม่แปลกเลยที่ปลาทองรันชูนี้จะดึงดูดความสนใจของผู้ที่ได้พบเห็นมัน และชักชวนให้เริ่มมาเป็นเจ้าของเลี้ยงดูกัน
 

การเลือกดูลักษณะเด่นของปลาทองรันช
     กล่าวคือการเริ่มดูปลาสำหรับนักเลี้ยงปลาทองรันชูมือใหม่นั้นคงจะยังไม่ทราบว่าเขาเริ่มดูจากด้านบนของตัวปลา(Top View) เราจึงขอแนะนำท่านให้เริ่มดูกันจากจุดนี้ การตัดสินปลาที่เข้าตากรรมการก็จะใช้หลักเกณฑ์ดังนี้

        ข้อสังเกตที่ 1 รูปทรงและความสมดุลของปลา
เมื่อได้มองจากด้านบนในขณะที่ปลากำลังว่ายอยู่นั้น จะเริ่มพิจารณาลักษณะการว่ายของปลาซึ่งจะมองโดยรวมก่อน หลังจากนั้นก็จะเริ่มดูไล่ลงไปจากส่วนหัว ลำตัวและส่วนหาง สังเกตว่ามีส่วนไหนผิดปกติหรือไม่ตรงตามมาตราฐานหรือไม่ แล้วจึงค่อยลงความเห็นว่าลักษณะการว่ายสมดุลดีหรือเปล่า่
 
ดูลักษณะปลาัรันชูที่ดี>>> click

        ข้อสังเกตที่ 2 ความอ้วนของปลา
ปลาทองรันชูที่ผอมไปนั้น จัดว่าเป็นปลาทองที่ดูไม่ดี และไม่เป็นที่นิยมมากนัก โดยทั่วไปเมื่อมองที่ความกว้างของลำตัวแล้ว จะต้องสังเกตควบคู่ไปด้วยกับโคนหาง กล่าวคือหากปลามีลำตัวที่ใหญ่ก็จะต้องมีโคนหางที่ใหญ่ตามไปด้วย ถ้าเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่แต่โคนหางเล็ก คะแนนนิยมก็จะตกลงไปมากทีเดียว

        ข้อสังเกตที่ 3 การเรียงแถวของเกล็ด และ ความสวยงามของสีสันลวดลาย
การเรียงลำดับของเกล็ดที่มีขนาดเล็ดนั้นควรจะเรียงเป็นแนวเดียวกันในแต่ละแถวไม่กระจัดกระจาย และเกล็ดควรจะแวววาวสะท้อนแสงไฟ ส่วนสีสันนั้นจะขาวหรือแดงก็ควรจะเป็นสีที่เข้มสด

        ข้อสังเกตที่ 4 ปลาที่มีสง่าราศี
เมื่อมองโดยภาพรวมแล้ว รูปโฉมและการว่ายของปลาตัวนั้นต้องดูมีสง่าราศี

        ข้อสังเกตที่ 5 การว่ายน้ำของปลาัรันชู
สำคัญเหมือนกันเพราะปลาที่ไม่ได้มาตราฐานมันจะมีการว่ายที่บ่งบอกให้รู้เช่นกัน สำหรับลีลาการแหวกว่ายของปลา จะต้องมีลีลาที่ปราดเปรียว ไม่อืดอาดหรือเชื่องช้าและไม่ว่ายด้วยท่าทีที่แปลก ๆ เหมือนจะ่บ่อบอกให้รู้ถึงลักษณะหางที่ไม่ดี

2.ปลาทองหัวสิงห์


ปัจจุบันนี้ปลาทองสิงห์ผสมได้รับความนิยมพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและแพร่หลายจากนักเลี้ยปลาทองอย่างมาก เนื่องจากเป็นปลาที่ถูกนำเอาจุดเด่นของ "ปลาทองหัวสิงห์จีน" และ "หัวสิงห์ญี่ปุ่น" มารวมไว้ในปลาตัวเดียว ดังนั้นจึงช่วยให้ปลาแลดูสวยงามยิ่งขึ้น และยังช่วยให้ง่ายแก่การเพาะขยายพันธุ์ เนื่องจากหากเป็นปลาทองหัวสิงห์ญี่ปุ่นแท้ ๆ จะผสมพันธุ์ได้ค่อนข้างยาก ดังนั้นการนำปลาทองหัวสิงห์จีนมาผสมด้วยจึงช่วยให้ปลาแพร่พันธุ์ได้ง่ายและได้ปริมาณเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปลาทองลูกผสมนี้จะขายได้ราคาได้ไม่แพ้ปลาทองหัวสิงห์ญี่ปุ่นแท้ ๆ เนื่องจากนักเลี้ยงปลามือสมัครเล่นโดยมากจะแยกความแตกต่างของปลาไม่ค่อยออก
วิธีการสังเกตปลาทองหัวสิงห์ลูกผสม1. วุ้นบนหัวของปลาจะมีขนาดใหญ่ปลานกลาง ไม่ดกและหนาเท่าปลาทองหัวสิงห์จีน แต่จะมากกว่าปลาทองหัวสิงห์ญี่ปุ่นแท้ ๆ
2. หลังจะโค้งมนได้สัดส่วนกว่าปลาทองหัวสิงห์จีนแต่ไม่โค้งและสั้นเท่าปลาทองหัวสิงห์ญี่ปุ่น
3. หางจะไม่ยาวเท่าปลาทองหัวสิงห์จีนแต่จะยาวกว่าปลาทองปลาทองหัวสิงห์ญี่ปุ่นและหางโดยมากจะได้ฉากกับลำตัว




3.ปลาทองหัววุ้น....""(+_+)
 
 
ประวัติปลาเงินปลาทอง
ทางประวัติศาสตร์เชื่อได้ว่าการเพาะพันธุ์ปลาทองมีมานานกว่า1,000ปีแล้วหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึง คือ รูปเห็นถึง คือ รูปวาดปลาทองซึ่งมีเกร็ดสีแดงที่ลำตัวจำนวนมากกำลังว่ายน้ำอยู่ในบ่ออายุรูปภาพกว่า 2,000ปีมาแล้วปลาทองเป็นปลาที่อยู่ในวงศ์ ไซไพร์นิตี้ ( Family Cyprinidae) จัดเป็นปลาวงศ์ที่ใหญ่ที่สุดโดยมีสุด โดยมีปลาเกือบ2,000ชนิดซึ่งปลาในวงศ์นี้มีปลาที่เราพอรู้จักคือ ปลาทอง ปลาไน และปลาตะเพียน
 
จากการศึกษาพบว่าปลาเงินปลาทองเป็นปลาซึ่งเกิดจากการผ่าเหล่ามาจาก ปลาไน (Crucian carp) ปลาเงินปลาทองมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Carassius auratus linn.ประเทศแรกที่เพาะพันธุ์ปลาทองได้สำเร็จคือ ประเทศจีน ประเทศแรกที่มีการพัฒนาปลาทองให้มีสีและลวดลายสวยงาม คือ ประเทศ ญี่ปุ่นและเพียงเวลาไม่นานนักญี่ปุ่นก็ครองความเป็นเจ้าในการส่งออกปลาทองไปขายต่างประเทศผลที่ตามก็คือทำให้พันธุ์ปลาทองเป็นที่แพร่หลายและเป็นที่นิยมในหมู่นักเลี้ยงในที่สุด
ปลาทองพันธุ์สามัญ (Common fish)เป็นปลาต้นสายพันธุ์ลำตัวค่อนข้างยาวและแบนด้านข้างและหัวสั้นข้าง หัวสั้นกว้างและไม่มีเกร็ดเป็นปลาที่อดทนกินอาหารง่ายและลูกดกสีสันคล้ายปลาไนมากในประเทศไทยสันนิฐานได้ว่ามีผู้นำปลาเงินปลาทองเข้ามาเลี้ยงครั้งแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลางโดยนำมาจากประเทศจีนเนื่องจากมีการค้าติดต่อในกันในช่วงนั้น
 
วิธีการเลี้ยงปลาเงินปลาทอง
 
น้ำที่ใช้เลี้ยงปลา น้ำถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเลี้ยงปลา เพราะปลาอาศัยอยู่ในน้ำ ถ้าสภาพน้ำไม่ดี มีเชื้อโรคมากเกินไป หรือมีสารเคมีต่างๆเจือปนอยู่ในน้ำ หรือน้ำสะอาดไม่เพียงพอ การเลี้ยงปลาก็จะไม่ประสบความสำเร็จ
              1. น้ำประปา ต้องรองใส่ภาชนะที่ไม่ปิดฝา ทิ้งไว้เกินกว่า 24 ชม. เพื่อให้สารคลอรีนที่มีอยู่ในน้ำระเหยไปให้หมด หรืออย่างน้อยต้องทิ้งไว้ 12 ชม. เป็นอย่างต่ำ ถ้าจำเป็นต้องรีบใช้น้ำในการเลี้ยงปลาหรือเปลี่ยนถ่ายน้ำให้ปลา ควรรองน้ำใส่ภาชนะและใส่น้ำยากำจัดคลอรีนลงในภาชนะนั้นๆ และในกรณีใช้น้ำยาลดคลอรีนชนิดเข้มข้นควรทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที หรือ 1-2 ชม. สำหรับน้ำยาชนิดธรรมดาทั่วไป น้ำที่ใส่น้ำยานี้สามารถใช้เลี้ยงปลาได้
              2. น้ำบาดาล ต้องใส่ยาฆ่าเชื้อโรคหรือใส่น้ำยาปรับสมดุลน้ำ ควรใส่ให้สีของน้ำออกสีน้ำเงินเล็กน้อย เมื่อน้ำเริ่มใสสามารถนำมาเลี้ยงปลาได้ ถ้าใช้น้ำบาดาลที่สูบขึ้นมาใหม่ควรตรวจดูอุณหภูมิของน้ำด้วย คือต้องไม่ร้อนหรือเย็นมากจนเกินไป
              3. น้ำคลองหรือบ่อ ห้ามใช้สารส้มเพื่อทำให้น้ำใส ควรรองน้ำใส่ภาชนะทิ้งไว้ 2-3 วันเพื่อรอให้น้ำตกตะกอนเอง จึงสามารถตักส่วนบนที่ใสมาใช้เลี้ยงปลาได้ และควรใส่ยาฆ่าเชื้อโรคหรือใส่ยาปรับสมดุลน้ำเล็กน้อย
              4. น้ำฝน ปัจจุบันเนื่องจากมลภาวะแวดล้อมเป็นพิษ น้ำฝนที่ตกลงมาจะมีสารเคมีเจือปน จึงไม่เหมาะแก่การเลี้ยงปลา และในน้ำฝนจะมีแต่ไฮโดรเจนไม่มีอ๊อกซิเจนเจือปนอยู่เลย แต่ที่ปลาสามารถอาศัยอยู่ได้เพราะผู้เลี้ยงได้ใช้เครื่องเพิ่มออกซิเจนให้ปลา ปลาจึงสามารถอยู่ได้แต่ปลาจะโตช้า หรือเลี้ยงแล้วแทบจะไม่โตเลย จะทำให้ปลาเป็นปลาแกรนในที่สุด
               5. น้ำที่ผ่านเครื่องกรองน้ำ ควรเติมน้ำยาลดคลอรีน ถ้าใช้ชนิดเข้มข้นทิ้งไว้ 10-15 นาที ชนิดธรรมดาทิ้งไว้ 1-2 ชม. เหมือนกับใช้น้ำประปา แต่น้ำผ่านเครื่องกรองจะสะอาดและมีเชื้อโรคเจือปนอยู่ในน้ำน้อยกว่ามาก
               6. น้ำกลั่น ไม่เหมาะแก่การเลี้ยงปลา เพราะจะไม่มีค่าสารละลายออกซิเจน (โอ ทู) ในน้ำเหลืออยู่เลย เนื่องจากโดนเครื่องกรองน้ำกรองออกจนหมด 

อาหาร อาหารที่เราให้ปลากินมีอยู่ 2 ชนิดด้วยกันคือ 
                1. อาหารสำเร็จรูป มีหลายชนิดคือ แบบเป็นเม็ด แบบเป็นแผ่น แบบเป็นก้อน แบบเป็นผง และมีหลายยี่ห้อให้เลือกใช้ บางยี่ห้อสินค้าไม่มีคุณภาพ และมีหลายยี่ห้อที่โฆษณาเกินจริง ผู้เลี้ยงควรสอบถามและขอคำแนะนำในเรื่องการเลือกซื้ออาหารปลาจากร้านปลาที่ขายสินค้าเป็นประจำ (ไม่ใช่ร้านแผงลอยหรือตามตลาดนัดแนะนำ) ควรเลือกซื้ออาหารปลาตามขนาดของปลาที่เลี้ยงอยู่ และไม่ควรให้อาหารเหลือในน้ำ
                2. อาหารสด มีดังนี้คือ ลูกน้ำ ไรน้ำจืด ไรทะเล ใส้เดือนน้ำ หนอนแดง ไม่ควรใส่อาหารสดทุกชนิดในตู้ปลามาก เพราะอาหารสดเป็นสัตว์ที่มีชีวิต จะแย่งออกซิเจนในตู้ ควรใส่น้อยๆ แต่ใส่บ่อยๆ และไม่ควรเอาอาหารสดที่ตายแล้วใส่ให้ปลากินเพราะจะทำให้ปลาถ่ายท้องได้ 

อุณหภูมิ อุณหภูมิที่เหมาะกับการเลี้ยงปลาทองคือ 20-25 องศาเซลเซียสความหนาแน่นของปลาในตู้ ไม่ควรเลี้ยงปลาทองจำนวนมากในตู้ ควรเลี้ยงปลาให้พอเหมาะ ไม่แน่นจนเกินไป แสงแดด ควรเลี้ยงปลาทองให้ถูกแสงแดดบ้าง หรือถ้าเลี้ยงอยู่ในบ้าน ควรใช้หลอดไฟเทียมแสงอาทิตย์และเปิดไฟไว้ในเวลากลางวัน อากาศ ถ้าน้ำที่ใช้เลี้ยงปลามีออกซิเจนเพียงพอต่อความต้องการของปลา จะช่วยให้ปลาสดชื่น แข็งแรง และโตเร็ว



4.ปลาทองยักษ์ ตัวใหญ่ที่สุดของโลก

วันที่ 9 กันยายน 2553 เวลา 15:00 น.
อ่าน : 1490 | ตอบ : 0
ตะลึง พบ"อภิมหาปลาทอง"ตัวใหญ่ที่สุดของโลก หนักเท่าเด็ก 3 ขวบ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 8 ก.ย.ว่า นายราฟาเอล เบียกินี่ นักตกปลาชาวฝรั่งเศสรายหนึ่งสามารถจับปลาทองยักษ์ตัวหนึ่งได้ โดยเป็นปลาทองสีส้ม มีน้ำหนัก 30 ปอนด์ ที่ทะเลสาบแห่งหนึ่งในเมืองมองเปลิเย่ร์ ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส โดยขนาดของมันเทียบได้เท่ากับเด็กอายุ 3 ขวบ และเชื่อว่า น่าจะเป็นปลาทองที่ตัวใหญ่ที่สุดของโลกที่เคยมีการพบเห็นกันมา อย่างไรก็ตาม ภายหลังเหตุระทึกดังกล่าว นักตกปลาผู้นี้ได้ตัดสินใจปล่อยอภิมหาปลาทองตัวนี้กลับคืนสู่ทะเลสาบดังเดิม



5.ปลาทองตาลูกโป่ง


หลายเสียงต่างวิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานานเกี่ยวกับรูปร่างอันแปลกประหลาดของเจ้าปลาสายพันธุ์นี้ เนื่องจากมันมีเบ้าตาที่ค่อนข้างพิเศษพิศดารกว่าปลาทองพันธุ์อื่น ๆ นั่นคือ เบ้าตาของมันมีความใหญ่โตผิดแผกแตกต่างจากปลาทองโดยทั่วไปโดยสิ้นเชิง เบ้าตาของปลาขนิดนี้มีขนาดใหญ่โตและดูคล้ายมีลูกโป่งติดอยู่ที่ดวงตาของมันและนี่ก็คือที่มาของชื่อ ปลาทองตาลูกโป่ง
ปลาทองพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในประเทศจีน ลักษณะเด่นของปลาชนิดนี้คือ มีตาที่ใหญ่โตคล้ายมีลูกโป่งห้อยติดอยู่ที่ดวงตาทั้ง 2 ข้าง ยามเมื่อปลาแหวกว่ายลูกโป่งทั้ง 2 ข้าง จะกวัดแกว่งไปมาอย่างน่าหวาดเสียวว่ามันจะแตกหรือเปล่า ความยาวเมื่อโตเต็มที่ของปลาชนิดนี้จะอยู่ในช่วงประมาณ 6 นิ้ว โดยปกติทั่ว ๆ ไปปลาชนิดนี้จะมีสีขาว สีส้ม สีส้มสลับขาว และส้มเหลือง จัดว่าเป็นปลาที่มีสายตาไม่ค่อยดีนักและค่อนข้างเป็นปลาที่เปราะบาง เนื่องจากหากถุงลูกโป่งถูกกระทบกระแทกเพียงเล็กน้อยก็อาจแตกได้ ดังนั้นการเลี้ยงปลาชนิดนี้จำเป็นต้องอาศัยความละเอียดอ่อนและการเอาใจใส่ที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรเลี้ยงปลาชนิดนี้รวมกับปลาชนิดอื่น เพราะตาของมันอาจถูกปลาตัวอื่นตอดทำร้ายจนได้รับอันตรายได้
อันที่จริงแล้วปลาทองตาลูกโป่งจัดว่าว่ายน้ำได้เร็ว แต่เนื่องจากส่วนหัวของมันถูกถ่วงไว้ด้วยลูกโป่งจึงทำให้การว่ายน้ำไม่สู้สะดวกนัก โดยเฉพาะปลาที่มีลูกโป่งขนาดใหญ่มาก ๆ จะว่ายน้ำได้เชื่องช้าเป็นพิเศษ แต่ในทางตรงกันข้ามปลาที่มีตาลูกโป่งขนาดใหญ่มาก ๆ นั้น เป็นปลาที่มนุษย์จัดว่ามีคามสวยงามมากเป็นพิเศษ
ปลาชนิดนี้เมื่อมีอายุได้ 6-9 เดือน ถุงเบ้าตาก็จะเริ่มเจริญเติบโตให้เห็นเด่นชัด และเมื่ออายุได้ 2 ปี ก็จะเจริญพันธุ์เต็มที่ ส่วนปัญหาที่มักเกิดกัปลาชนิดนี้ คือ อาการตกเลือดที่ถุงเบ้าตา วิธีแก้ก็โดยการใช้เข็มเจาะเอาเลือดที่ตกค้างอยู่ในนั้นออก จากนั้นไม่นานลูกโป่งก็จะหายเป็นปกติ ส่วนกรณีที่ตาลูกโป่งของปลาเกิดการกระทบกระแทกจนลูกโป่งแตก หากไม่รุนแรงนักปลาก็หายเป็นปกติในไม่ช้า แต่ถ้ากระแทกอย่างรุนแรงปลาอาจตายได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควรระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในช่วงการดูดเปลี่ยนน้ำไม่ควรให้ปลาว่ายเข้าใกล้ท่อดูดน้ำมากนักเพราะลูกโป่งอาจถูกท่อดูดจนแตกได้
อ่างที่ใช้เลี้ยงควรเป็นอ่างที่มีปากอ่างกว้างเพื่อป้องกันไม่ให้ปลาว่ายไปชนถูกขอบอ่างจนทำให้ปลาได้รับบาดเจ็บ สำหรับระดับน้ำที่ใช้เลี้ยงก็ไม่ควรต่ำกว่า 6 นิ้ว แต่ไม่ควรสูงเกินกว่า 9 นิ้ว เพราะถ้าหากระดับน้ำสูงเกินไปจะทำให้ปลาเสียการทรงตัวได้ง่าย และลูกโป่งจะเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ ขณะเดียวกันหากระดับน้ำต่ำมากเกินไปก็อาจทำให้ถุงน้ำเบ้าตาถูถูกพื้นอ่างอยู่เสมอ ๆ จนเป็นเหตุให้ถุงอาจแตก
ปลาชนิดนี้จะมีอายุได้ราว 5-10 ปี ซึ่งจัดว่าค่อนข้างมีอายุสั้นเมื่อเทียบกับพันธุ์อื่น ๆ ปลาชนิดนี้นอกจากจะเลี้ยงยากแล้ว ยังให้ลูกได้น้อยอีกด้วย และเป็นปลาที่มีอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างช้า ในขณะที่ลูกปลาชนิดนี้ที่มีขนาดเล็กก็ไม่เป็นที่นิยมของนักเลี้ยงปลาเท่าใดนัก เนื่อจากลูกปลายังไม่มีลูกโป่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ที่สามารถจะดึงดูดความสนใจจากนักเลี้ยงปลาได้ อีกทั้งปลาชนิดนี้หาที่มีรูปร่างและสัดส่วนที่สมบูรณ์ค่อนข้างยาก แต่ถึงอย่างไรก็ตามเมื่อปลาชนิดนี้โตเต็มที่ก็จะเริ่มเป็นที่นิยมเลี้ยงกันพอสมควร เพราะเอกลักษณ์เฉพาะตัวจะเริ่มปรากฏให้เห็นเด่นชัด


สิว